คงจะมีน้อยคนนักในประเทศไทย ที่ไม่รู้จัก “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” บางท่านเห็นและคุ้นชินด้วยตาทุกวัน บางท่านใช้เป็นจุดนัดพบ บางท่านเห็นผ่านสื่อประเภทต่างๆ แต่ก็คงจะลืมไปแล้วว่ามีความเป็นมาและความหมายอย่างไร และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี ทางราชการก็ได้กำหนดให้เป็นวันทหารผ่านศึก มีการจัดกิจกรรมเพื่อทหารผ่านศึกที่ “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” อนุสาวรีย์ทุกแห่งล้วนมีความหมายและความทรงจำที่แฝงอยู่ ถือได้ว่าอนุสาวรีย์เป็นสิ่งก่อสร้างในลักษณะประติมากรรม ที่มีผลในแง่สัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงเหตุการณ์หรือคุณความดีของบุคคล
สำหรับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้น ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ และการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.2520 กำหนดให้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจัดอยู่ในประเภท “อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ” คือสิ่งก่อสร้างที่เป็นเครื่องหมาย น้อมนำให้ระลึกถึงวีรกรรมหรือคุณความดีของบุคคลที่ได้ประกอบกรณียกิจ เป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ไว้แก่บ้านเมืองไทย เพื่อเป็นที่รวมพลังใจ ศรัทธา และความนิยมนับถือของประชาชน และเป็นแบบฉบับแก่อนุชนไทยสืบต่อไป
กรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีน ฝรั่งเศส เป็นต้นกำเนิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังรบติดพันอยู่ในทวีปยุโรปนั้น ฝรั่งเศสกำลังล่าอาณานิคมอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยกับฝรั่งเศสได้มีการลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2483 (78 ปีล่วงมาแล้ว) แต่สนธิสัญญาดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากยังไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันซึ่งกันและกัน ต่อมาฝรั่งเศสได้ขอให้สนธิสัญญานี้มีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบัน เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนในอาณานิคมอินโดจีน เนื่องจากในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสกำลังพ่ายแพ้เยอรมัน และในทวีปเอเชีย ดินแดนส่วนใหญ่กำลังถูกคุกคามจากญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสไม่ปลอดภัยไปด้วย
รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ตอบฝรั่งเศสในการยินดีตกลงปฏิบัติตามสนธิสัญญา ถ้าฝรั่งเศสยอมรับข้อเสนอของไทย 3 ประการ คือ 1) ขอให้มีการวางแนวเส้นเขตแดนตามลำน้ำโขง ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน 2) ขอให้ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือถือแม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดน ระหว่างไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้จนถึงเขตกัมพูชา โดยให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนทางฝั่งแม่น้ำโขง ตรงกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซคืนมา
3) ขอให้ฝรั่งเศสรับทราบว่า ถ้าไม่ได้ปกครองอินโดจีนแล้ว ฝรั่งเศสจะคืนลาวและกัมพูชาให้ไทย
ฝรั่งเศสปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ความตึงเครียดของสถานการณ์เกิดขึ้น และในที่สุด ฝรั่งเศสก็ได้เป็นผู้ริเริ่มก่อการวิวาทขึ้นก่อน โดยนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2483 ไทยจึงจำเป็นต้องป้องกันรักษาอธิปไตย โดยใช้กำลังทหารและตำรวจสนามเข้าต่อสู้ตามชายแดนไทยด้านอินโดจีน โดยจัดกำลังเป็นกองทัพบกสนาม มีพลตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นแม่ทัพบก พันเอกหลวงวิชิตสงครามเป็นเสนาธิการ กองกำลังประกอบด้วย
1) กองทัพบูรพา มีพันเอกหลวงพรหมโยธีเป็นแม่ทัพ มีกองพลผสมปราจีน กองพลผสมอรัญ กองพลจันทบุรี และกองหนุนบูรพามีภารกิจในการเข้าตีด้านกัมพูชา เพื่อยึดพนมเปญและทำการยุทธ์บรรจบกับกองทัพอีสานที่พนมเปญ
2) กองทัพอีสาน มีพันเอกหลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เป็นแม่ทัพ มีกองพลอุดร กองพลอุบลและกองหนุนอีสาน มีภารกิจในการเข้าตีด้านลาวทำการรุกไปยังจำปาศักดิ์สตรึงเตรงและตะวันออกของศรีโสภณ
3) กองพลพายัพ มีพันโทหลวงหาญสงครามเป็น ผบ.พล. มี ร.พัน 28 นครสวรรค์ ร.พัน 29 พิษณุโลก ร.พัน 30 ลำปาง ร.พัน 31 เชียงใหม่ มีภารกิจในการเข้าตีด้านลาว (ฝั่งตรงข้ามหลวงพระบาง)
4) กองพลผสมปักษ์ใต้ มีพันเอกหลวงเสนาณรงค์เป็น ผบ.พล. มีกองพลสงขลา กองพลนครศรีธรรมราช มีภารกิจในการป้องกันมิให้ข้าศึกทางแหลมมลายูบุกรุกเข้ามาได้ทั้งทางบกและทางน้ำ
5) กองทัพเรือ มีพลตรีหลวงสินธุสงครามชัย เป็นแม่ทัพเรือ มีภารกิจส่งกองพันนาวิกโยธินไปสมทบกับกองพันทหารม้าที่ 4 ที่จันทบุรี ช่วยเหลือในการลำเลียงยุทธสัมภาระจากพระนครไปส่งให้กองพลจันทบุรีรับผิดชอบการรักษาเส้นทางคมนาคมทางทะเล ลาดตระเวนค้นหาข้าศึก เพื่อป้องกันการยกพลขึ้นบกของข้าศึกด้านฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย
รายชื่อ 77 จังหวัดของประเทศไทย ที่เรารับซื้อ Notebook อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
———————————————————
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
———————————————————
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
———————————————————
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
———————————————————
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
———————————————————
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา