1. สำรวจระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์
การแบ่งระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นอาจแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักแบ่งเป็น 3 ระดับด้วยกัน ตามรูปแบบการใช้งานทั่วไปของผู้ใช้ คือ ระดับผู้ใช้ทั่วไป (Basic User) ระดับผู้ใช้งานด้านกราฟิกส์(Graphic User) และผู้ใช้งานในระดับสูง (Advanced User) เราเองต้องรู้ระดับการใช้งานของเรา เพื่อสามารถกำหนดสเป็คเครื่องที่เหมาะสมได้ต่อไป
1) สำหรับ ผู้ใช้มือใหม่ ที่ยังไม่เคยสัมผัสคอมพิวเตอร์มาก่อน แนะนำให้ซื่อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อ จะดีกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเวลาที่เครื่องมีปัญหา ผู้ใช้ระดับนี้มักยังใช้งานแบบลองผิดลองถูกอยู่บ้าง จึงอาจทำให้เครื่องมีปัญหาได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นที่มีราคาแพง
2) สำหรับผู้ใช้งานในออฟฟิศ จะคล้ายกับผู้ใช้มือใหม่ตรงที่ไม่ต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เน้นการทำงานเอกสารหรืออาจจะใช้ Photoshop แต่ง ภาพเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้น คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมจะใกล้เคียงกับผู้ใช้มือใหม่ เพียงแต่ปรับอุปกรณ์บางตัว เช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือเพิ่มไดรว์ CD-RW สำหรับเก็บข้อมูล
3) สำ หรับนักศึกาามหาวิทยาลัย ผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษาจะเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์มากขึ้นสามารถใช้งานโปรแกรม ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ผู้ใช้ระดับนี้อาจจะประกอบเครื่องใช้เองได้ เพราะจะทำให้ตนเองมีความรู้มากขึ้น การใช้งานเน้นไปทางพิมพ์งานส่งอาจารย์
4) สำหรับผู้ใช้งาน Windows Vista จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพสูงในระดับหนึ่ง ด้วยการเป็นซีพียู Dual Core พร้อมแรม 1GB ขึ้นไป ฮาร์ดิสก์ 250 GB หากตรงตามมาตรฐาน Window Vista Premium ต้องใช้ฮาร์ดิสก์แบบไฮบริดเท่านั้น ซึ่งในช่วงแรกฮาร์ดดิสก์แบบไฮบริดจะมีราคาแพงมาก
5) สำหรับผู้ใช้งานระดับสูง หรือผู้ที่ชอบเล่นเกมส์จะต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูง การประกอบเครื่องเองจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้นก่อนอื่นควรศึกษาและสำรวจอุปกรณ์ต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ก่อนว่า แต่ละอย่างมีคุณสมบัติอย่างไร และราคาเท่าไร จากนั้นจึงหันกลับมาดูถึงความต้องการว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานอะไร อย่างไร จากนั้นจึงเลือกสเป็คให้พอดีกับความต้องการ ส่วนเรื่องบริษัทที่ผลิต (ยี่ห้อ) และราคาจะเป็นปัจจัยในการเลือกรองลงมา
2. วิธีกำหนดสเป็กเครื่อง (Specification)
วิธีการที่แนะนำก็คือ การใช้โปรแกรม System Spec (เวอร์ชั่นล่าสุดตอนนี้ 3.06) ครับ โดยโปรแกรมนี้จะบอกรายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่ใช้เปิดโปรแกรมนี้ สะดวกสบายในด้านที่คุณไม่ต้องมาเสียเวลานั่งติดตั้งโปรแกรม เพียงแค่ดับเบิ้ลคลิ้ก โปรแกรมก็จะแสดงรายละเอียดสเปคคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ แล้วครับ เราลองมาดูวิธีการเลยนะครับ
ขั้นตอนเช็คสเปคคอมพิวเตอร์แบบรวดเร็วและไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม
1. ให้คุณดาวน์โหลด โปรแกรม System Spec 3.06 ขนาดไฟล์ 2.19MB ครับ (ผู้ผลิตคือ alexnolan.net แต่เป็นไฟล์ซิบ ทางมานาเลยทำเป็นไฟล์โปรแกรมให้เลยครับ)
2. เมื่อคุณดาวน์โหลดแล้ว คุณจะได้ไฟล์ที่ชือ SysSpec ตามรูปด้านล่างเลยครับ
3. เวลาใช้งานให้คุณ Copy ไฟล์นี้ใส่ใน Flashdrive ของคุณครับ
4. เมื่อเวลาใช้งานให้คุณดับเบิ้ลคลิ้กที่ไฟล์นี้ โปรแกรมจะแสดงรายเอียดต่างๆ ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นขึ้นมาครับ
โดยรายละเอียดนั้นจะเป็นการแสดงรายละเอียดที่ถึงว่าครบถ้วนต่อความต้องการของเราได้เลยครับ เช่นรายละเอียด Hardware ต่างๆ เช่น รุ่นของ CPU,Mainboard,การ์ดจอ,ความจุของ Harddisk ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยไม่ให้เราถูกหลอกซื้อของที่ต่ำกว่าสเปคที่ตกลงกันไว้ได้เป็นอย่างดีครับ
3. ลักษณะการซื้อเครื่องพีซี
เครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้พัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถประมวลผลได้เร็วขึ้น แต่ราคาถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก การเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานทำได้ง่าย มีให้เลือกหลากหลายรุ่นตามร้านค้าทั่วไป แต่ผู้ใช้งานควรพิจารณาว่าจะนำคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อทำงานด้านใด เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์มีทั้งแบบที่ใช้ได้กับงานทุกประเภทหรืองานเฉพาะด้าน แม้ว่าราคาเครื่องอุปกรณ์ต่างๆจะถูกลง แต่ผู้ใช้ควรเลือกคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อให้คุ้มค่ากับจำนวนเงิน ตัวอย่างของการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ตามลักษณะของงานแต่ละประเภท เช่น
งานเอกสาร หรืองานในสำนักงาน เป็นการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับจัดการด้านเอกสารรายงาน ตกแต่งภาพ ทำการ์ดอิเล็กทรอนิกส์ ดูภาพยนตร์หรือสื่อทางการศึกษา ติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น ซอฟแวร์ประมวลคำ และซอฟแวร์ตารางทำงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ซีพียูที่มีความเร็วสูง คือประมาณ 1 GHz ขึ้นไป แต่ควรมีแรมอย่างน้อย 1 GB และอาจเลือกใช้จอภาพแบบแอลซีดีขนาดใหญ่ 17 – 19 นิ้ว เพื่อถนอมสายตา เนื่องจากลักษณะงานต้องจ้องมองจอภาพตลอดเวลา
งานกราฟิก เป็นใช้คอมพิวเตอร์สำหรับการตกแต่งและออกแบบภาพ และมีการเรียกใช้งานโปรแกรมหราฟิกหลายๆ โปรแกรมในเวลาเดียวกัน ใช้ซอฟแวร์กราฟิกในการสร้างชิ้นงาน เช่น งานสิ่งพิมพ์ งานนำเสนอแบบมัลติมีเดีย สร้างเว็บไซต์ ติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต โดยมีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวนมากที่มีทั้งภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในงานประเภทนี้จำเป็นต้องมีซีพียูที่มีความเร็วอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง ประมาณ 2 GHz ขึ้นไปใช้แรมอย่างน้อย 2 GB ขึ้นไป และมีฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุสูงเพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลจำนวนมาก
งานออกแบบที่ต้องแสดงผลเป็น 3 มิติ เป็นการออกแบบภาพ 3 มิติ สร้างภาพยนตร์ สร้างการ์ตูน แอนิเมชัน (animation) ตัดต่อวีดีทัศน์ ตัดต่อเพลง เล่นเกมที่มีกราฟิกสูง งานประเภทนี้ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการคำนวณและแสดงภาพความละเอียดสูงสุดได้ ดังนั้น ควรเลือกซีพียูที่มีความเร็วไม่น้อยกว่า 2 GHz มีแรมอย่างน้อย 4 GB การ์ดแสดงผลที่สามารถแสดงภาพที่มีความละเอียดสูงได้ดีควรใช้จอภาพขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว และควรมีเครื่องสำรองไฟเนื่องจากการทำงานประเภทนี้คอมพิวเตอร์ต้องใช้เวลาในการประมวลผลนานถ้าหากไฟดับหรือไฟกระตุกจะไม่สะดวกในการเริ่มทำงานใหม่
4. ตัวอย่างการดูสเป็กเครื่องจากใบโบรชัวร์สินค้า
1. Operating System หรือ ที่เรียกภาษาไทยว่า ระบบปฎิบัติการ ซึ่งคอมพิวเตอร์ในชุดนี้เลือกใช้ Windows 7 Basic ซึ่งเป็น Windows เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดเลย หากคุณต้องการที่จะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมาพร้อมระบบปฎิบัติการ windows ด้วย คุณจะต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไปด้วยครับ
2. Processor หรือ ที่เรียกง่ายๆว่า ซีพียู (CPU) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์หลัก คอมพิวเตอร์ของคุณจะแรงหรือไม่แรง ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญครับ (แต่ราคาก็จะแปรผันไปกับความแรงด้วย)
3. Chipset อันนี้เป็นตัวที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญของเมนบอร์ด (แต่บางที่ก็ไม่บอกรุ่นของ Chipset แต่บอกรุ่นของ Mainboard แทนครับ)
4. Memory หน่วย ความจำสำรอง หรือที่เราเรียกว่า แรม (Ram) นั่นแหละครับ มีเยอะยิ่งดี เริ่มต้นควรจะมีที่ 2GB (2048 MB) ครับ แม้ว่าตอนนี้ จะเริ่มมี DDR3 เข้ามา แต่ DDR2 ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ครับ
5. Harddisk เป็น ตัวเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเรา ถ้าถามว่า ความจุสักเท่าไหร่ดี สำหรับผมๆ ว่า 320GB ตามสเปคคอมพิวเตอร์นี้ก็โอเคครับ แต่ถ้าได้ถึง 500 – 1000 GB เลยได้ก็ดีครับ เพราะราคาของ Harddisk ตอนนี้ก็ราคาไม่แพง และได้ความจุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
6. Optical Drive เป็นอุปกรณ์สำหรับการเขียนซีดี หรือ ดีวีดี ซึ่งในปัจจุบันควรที่จะรองรับการเขียน DVD แบบ Double Layer (8.5GB) เป็นพื้นฐานนะครับ (ส่วน Blu-ray นั้น รออีกสักพักดีกว่าครับ)
7. Monitor อัน นี้เป็นจอภาพแสดงผลครับ ซึ่งปัจจุบันจอภาพแบบ LCD ก็มีราคาถูกพอๆ กับจอภาพ CRT แล้ว (บ้านผมเรียกว่า จอตูดใหญ่) ขนาดที่แนะนำก็คือ 19 นิ้ว + Wide Screen ครับ (เผื่อสำหรับการดูหนัง ฟังเพลง และทำงานครับ) ซึ่งในนี้จะเป็น 18.5 นิ้ว ผมว่ามันก็คือ 19 นิ้วนั่นแหละ
8. Graphics ซึ่ง เป็นอุปกรณ์ในส่วนของระบบการแสดงผลของภาพ หรือถ้าคนทั่วไปจะรู้จักกันในนามว่า “การ์ดจอ” (VGA Card) โดยจะมี 2 รูปแบบก็คือ แบบที่ติดมาพร้อมกับ Mainboard (On Board) และแบบที่เป็นอุปกรณ์แยกต่างหาก ( Graphics Card) โดยถ้าเป็นแบบ On Board นั้น จะเหมาะสมกับการใช้งานทั่วไป ไม่เหมาะกับการนำมาใช้เล่นเกมส์ ซึ่งจุดที่สังเกตได้ง่ายว่า คอมพิวเตอร์ในใบปลิวนั้น เป็นแบบ On board หรือไม่ ให้ดูว่ามีคำว่า “Integrated” หรือไม่ ถ้ามี เป็นแบบ On Board นะครับ
9. Connection ระบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งคอมพิวเตอร์รุ่นนี้จะมี Wireless Lan รวมอยู่ในระบบด้วยครับ
10. Audio ระบบเสียงที่ใช้ครับ คล้ายๆ กับระบบ Graphics ครับ คือ ถ้ามีคำว่า “Integrated” แสดงว่า เป็นระบ Audio On Board ครับ
11. I/O ports เป็นช่องสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ เช่น USB Port , Fire-Wire Port,ช่องสำหรับเสียบไมค์หรือลำโพง ครับ
12. Keyboard + Mouse เป็นอุปกรณ์ที่ควรจะต้องมีอยู่แล้วครับ
13. Warranty การ รับประกันตัวเครื่อง แล้วแต่ละที่ครับ บางที่ก็ 1 ปี บางที่ก็ 3 ปี อย่าลืมดูด้วยนะครับ ถ้ามีคำว่า Onsite แสดงว่า เขามีบริการที่ซ่อมให้ถึงบ้านด้วยนะครับ (ซึ่งคอมพิวเตอร์แบบประกอบจะไม่มีตรงนี้ครับ)
5. การตรวจสอบอุปกรณ์
หลังจากประกอบเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อไปจะเป็นขั้นตอนการตรวจสอบว่า เครื่องที่ประกอบนั้นสามารถใช้งานได้หรือไม่ทั้งยังเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง ของการประกอบเครื่องด้วย ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. การเปิดเครื่องเพื่อตรวจสอบระบบ ถ้าระบบผิดปกติจะสามารถทำงานได้คือ ที่จอภาพจะแสดงการทำงานของเครื่อง ถ้ามีอาการอื่นๆ เช่นมีเสียงดังปิ๊ปๆๆแสดงว่าเกิดจากการไม่ติดตั้งแรม (RAM) หากมีตารางเกิดขึ้นให้ตรวจสอบระบบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เช่นการเสียบการ์ดอาจจะหลวมหรือเสียบสายต่างๆผิดก็ได้ ถ้าเกิดการผิดพลาดจาก ฮาร์ดดิสก์ดิสก์ไดร์ฟ คีย์บอร์ดเมาส์จะมีข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่จอภาพ ให้ดำเนินการแก้ไขจนไม่แสดงข้อผิดพลาดใดๆ
2. เมื่อตรวจสอบระบบเบื้องต้นผ่านแล้วต่อไปเป็นขั้นตอนที่จะต้องทำการ Setup BIOSเพื่อให้รู้จักฮาร์ดดิสก์โดยใช้ Menu Auto Detectเป็นการให้เครื่องค้นหาฮาร์ดดิสก์แล้ว มากำหนดให้รู้จักดิสก์ไดร์ฟ และให้ทำการบันทึก BIOS
3. ต่อไปก็เป็นการดำเนินการกับฮาร์ดดิสก์ถ้าหากยังไม่ได้จัดพาร์ติชั่น ฟอร์แมตก็ให้ดำเนินการและติดตั้งระบบปฏิบัติการ โปรแกรมประยุกต์อื่นๆ ตามต้องการ
6. เลือกซื้อซีพียู
สำหรับการเลือกซื้อ ซีพียู ซึ่งเป็นที่ที่สำคัญที่สุดซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงเพราะซีพียูเป็นตัวที่จะกำหนดอุปกรณ์อื่นๆด้วย และเป็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ การที่เครื่องเราจะแรงและเร็วแล้ว ซีพียูเป็นตัวกำหนดหลักแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผมจึงขอให้กำหนด สเป็กการซื้อคอมพิวเตอร์ จากตัวซีพียูก่อนะครับ จะขอเรียงลำคับการพิจารณาการเลือกซื้อดั้งต่อไปนี้
1.ความเร็วของ ซีพียู
ความเร็วของซีพียู ซึ่งใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดนะครับ โดยมีหน่วยเป็น “เฮิรตซ์ (Hz)” ก็คือการที่ซีพียูทำงาน 1 ครั้งต่อ 1 วินาทีนั้นเอง แต่ในปัจจุบันซีพียูนั้นมีความเร็วมากอยู่ในระดับ “กิกะเฮิรตซ์ (GHz)” แล้ว เช่น 1 กิกะเฮิรตซ์ คือซีพียูทำงานได้ถึง 1 พันล้านครั้ง ต่อวินาที ยิ่งมีค่าสัญญาณนาฬิกามากเท่าไหร่ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วเท่านั้น เช่น AMD Phenom 9650 2.3GHz
2.หน่วยความจำแคช(Cache)
หน่วยความจำแคชก็เป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เพราะแคชมีหน้าที่ในการจัดเก็บคำสั่งและข้อมูลที่ได้ใช้บ่อยๆ เพื่อส่งไปยังซีพียู ซึ่งแคชเองทำงานร่วมกับแรมเพื่อเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง 2 อุปกรณ์ ให้เชื่อมต่อกันเพราะฉะนั้นแล้วยิ่งมีแคชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเร็วเท่านั้นด้วย
ในปัจจุบันเองได้มีการเพิ่มเทคโนโลยี Pre-Fetch ในบางรุ่นจะมี ที่มีแคชถึงระดับ L3 ทำหน้าที่ในการคอยอ่านข้อมูลจากแรมมายังแควตลอกเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น โดยความเร็วทั้ง 3 ระดับดังนี้
แคชระดับที่ 1 (L1) เป็นแคชขนาดเล็ก เป็นแคชที่มีขนาดเล็กที่สุด อยู่แค่ 32-128 KB เท่านั้น และอยู่ใกล้ชิดกับซีพียูมากที่สุด
แคชระดับที่ 2 (L2) จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเพราะจะทำการเก็บข้อมูลจากแรมเป็นหลัก
แคชระดับที่ 3 (L3) อยู่คั่นกลางระหว่างแรมกับแคช L2 โดยจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งมีประมาณ 2-8 MB และจะอยู่ใกล้กับบัสเพื่อสามารถที่จะถ่ายโดยข้อมูลไปยังส่วนต่างๆได้ง่ายขึ้น
3.บัส(BUS)
ถือได้ว่ามีความสำคัญเหมือนกัน เพราะ บัสคือ นำไฟฟ้าที่เป็นทางเดินของข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบัสในคอมพิวเตอร์คือบัสข้อมูล (Data bus) ซึ่งมีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hz) จะมีค่า FSB อย่างเช่น FSB 1066 เป็นต้น
4.ซีพียู จากค่ายต่างๆ
สำหรับซีพียูนี้ก็มี 2 ค่าย ใหญ่ที่ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กันคือ Intel และ AMD
Intel เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แล้วยังเป็นผู้ผลิต ซีพียูรายแรกอีกด้วย สำหนับซีพียู ที่ Intel ผลิตนั้นก็มีหลาย รุ่นออกมาให้เลือก และต่างมีเทคโนโลยีที่ต่างกัน ผมจะขอยกตัวอย่าง ซีพียูที่ทาง Intel ผลิตดังนี้คือ
1.CELERON-D
เป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่าง โดยจะออกแบบให้ใช้กับการทำงานพื้นฐานต่างๆ และมีราคาที่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการอะไรมากนัก ใช้โปรแกรมทางด้านพื้นฐานเป็นพอ ทั้ง ดูหนังฟังเพลง หรือแค่เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมส์เฟรชบาง สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ
2. CELERON-Duo Core
สำหรับ CELERON-Duo Core นี้ได้พัฒนามาจาก CELERON-D รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนมาผลิตจากที่เป็น ซิงเกอร์คอร์มาเป็น ดูอัลคอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานดีขึ้น
3.INTEL Duo Core
เป็นซีพียูที่มีความเร็วมากกว่า CELERON ตอบสนองการใช้งานได้มากกว่า โดยได้พัฒนาจาก ซีพียูรุ่น Pentiumนั้นเอง โครงสร้างก็เป็นแบบ Duo Core คือมีลักษณะเป็น 2 หัว
4.INTEL CORE 2 DUO
เป็นซีพียูที่พัฒนามาจาก INTEL Duo Core โดยจะมีเลข 2 ก็หมายถึง พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 นั่นเองครับ โดยจะมีการเพิ่ม L 2 เพิ่มขึ้นจาก Duo Core มีอยู่ 2MB มาเป็น 3MB และมีความเร็วบัสเพิ่มขึ้นด้วย
5.INTEL CORE 2 QUAD
เป็นซีพียูที่ได้มีการพัฒนาจาก INTEL CORE 2 DUO โดยการนำ INTEL CORE 2 DUO มารวมกันเป็น เป็น 1ตัวได้ทั้งหมดถึง 4 หัวเลย และยังช่วยการใช้พลังงานที่ลดลงกว่า เดิมอีกด้วย
6. CORE 2 QUAD Extreme
เป็นการนำเอา INTEL CORE 2 DUO มารวมตัวกันโดยเป็นการแยกการทำงานโดยอิสระ และมีการแบ่งการทำงาน ของ L2 เป็น 2 ส่วน ซึ่งเป็น ซีพียูทีมีราคมสูงมาก
7.Intel Core i7
เป็นซีพียูที่ ใหม่ล่าสุดที่เริ่มขายแล้ว ซึ่งยังมีราคาที่สูงอยู่ และถือได้ว่าเป็น ซีพียูที่มีความเร็วสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมีการเพิ่ม แคชระดับ L3 ที่นำมาใช้ถึง 4-8 MB และมีการลองรับ Dual Channel DDR3 เป็นครั้งแรก ซึ่งจะต้องทำงานกับแรม 3 แผงขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราต้องใช้แรม 3 แผงเป็นอย่างต่ำ
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
———————————————————
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
———————————————————
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดปทุมธานี
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
———————————————————
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
———————————————————
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
———————————————————
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา