‘คลองเตย’ หนึ่งในย่านใจกลางเมืองที่มีเรื่องราวการตั้งรกรากอยู่อาศัยและทำการค้ามาอย่างยาวนาน หากวิเคราะห์พื้นที่ตามเขตการปกครองของกรุงเทพฯ เขตคลองเตย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนกลางค่อนไปทางตะวันตกของฝั่งพระนคร
คำว่า ‘คลองเตย’ สันนิษฐานว่าได้ชื่อตามคลองอันเป็นสัญลักษณ์ของท้องถิ่น และจากชื่อเรียก ต้นเตย ที่ขึ้นมากบริเวณริมคลองนั้น โดยสมัยก่อนเป็นพื้นที่เปลี่ยว ส่วนใหญ่เป็นท้องนาและสวนผัก โดยผู้คนส่วนใหญ่ใช้การสัญจรทางน้ำเป็นหลัก
คลองเตยเคยเป็นที่ตั้งของเมืองปากน้ำพระประแดง เป็นเมืองหน้าด่านปากน้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะขึ้นไปสู่เมืองอื่น ๆ (อยู่ตรงข้ามกับ อ.พระประแดง ในปัจจุบัน ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1) ย่านคลองเตยจึงมีชุมชนอยู่อาศัยต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นชุมชนอยู่อาศัยแบบหนาแน่นมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
คลองเตยนอกจากความเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นจากรากฐานการอยู่อาศัยริมแม่น้ำแล้ว ยังมีความสำคัญในแง่ของความเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ เนื่องจากมีสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่งเกิดขึ้นในย่านคลองเตยทำให้ย่านคลองเตยกลายเป็นทั้งย่านชุมชนอยู่อาศัยและย่านแหล่งงานขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ โดยสถานที่สำคัญเหล่านี้ เช่น
ท่าเรือกรุงเทพ หรือที่รู้จักกันในนาม “ท่าเรือคลองเตย” ซึ่งนับเป็นท่าเรือระหว่างประเทศแห่งแรกของประเทศไทย เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2481 จนในปี พ.ศ. 2483 เริ่มมีโรงพักสินค้า คลังสินค้า ก่อนมีหยุดชะงักการก่อสร้างไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดดำเนินการกิจการท่าเรืออย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2490
หลังจากนั้นในราวปี พ.ศ. 2493 ก็เกิดอีกหนึ่งแหล่งงานขนาดใหญ่ นั่นคือ โรงงานยาสูบ ของการยาสูบประเทศไทย (ปัจจุบันสังกัดกระทรวงการคลัง) ได้ขยับขยายส่วนการผลิตยาสูบจากย่านสะพานเหลืองมายังพื้นที่คลองเตย (ใกล้กับแยกคลองเตยในปัจจุบัน เข้าได้ทั้งฝั่งถนนรัชดาภิเษก และถนนพระราม 4) โดยปัจจุบันยังคงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ การยาสูบแห่งประเทศไทย
สำหรับตลาดคลองเตย อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของย่านคลองเตย แม้ว่าจะไม่ปรากฎชัดเจนว่า ความเป็นตลาดเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่จากการที่ย่านคลองเตยมีชุมชนดั่งเดิม มีท่าเรือระหว่างประเทศ เป็นสถานที่ตั้งของโรงงานยาสูบ จึงมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดเกิดคู่มากับชุมชนและการค้าขายบริเวณท่าเรือ ย่านคลองเตย จึงกลายเป็นแหล่งชุมชนอยู่อาศัยและแหล่งงานขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
ในยุคที่กรุงเทพฯ เริ่มเป็นเมืองที่ขยายตัว มีอาคารพาณิชย์ มีห้างสรรพสินค้า มีอาคารสำนักงาน ย่านคลองเตย เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เริ่มมีอาคารพาณิชย์ค้าขาย โดยเฉพาะสินค้าที่ต่อเนื่องมาจากท่าเรือ เริ่มเกิดอาคารสำนักงานขนาดเล็กและขนาดกลาง รองรับการค้าขายระหว่างท่าเรือ
จนในปี พ.ศ. 2534 จึงมีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณใกล้แยกคลองเตย ฝั่งถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นศูนย์การประชุมแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้พื้นที่บริเวณนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป และการย้ายมาของสำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากถนนวิทยุมายังย่านคลองเตย ฝั่งถนนรัชดาภิเษก ใกล้แยกคลองเตย ติดกับศูนย์การค้าประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในปี พ.ศ. 2541 (ปัจจุบันย้ายไปอยู่ย่านพระราม 9) ยิ่งเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่า ย่านคลองเตยมีโอกาสที่จะเติบโตในเส้นทางย่านธุรกิจสมัยใหม่
จากการก่อสร้างท่าเรือกรุงเทพ (ช่วงปี พ.ศ. 2481-2490) และการก่อสร้างฐานทัพของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ช่วงปี พ.ศ. 2503) ทำให้เกิดความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีแรงงานจากพื้นที่อื่นเข้ามาในย่านคลองเตยมากขึ้น หลายคนเริ่มปักหลักและจับจองพื้นที่สร้างเป็นบ้าน หรือนอนพักเป็นห้องแถวทำให้เกิดชุมชนขนาดใหญ่ในย่านคลองเตย หรือที่เรียกว่าสลัมคลองเตย
แม้ว่าช่วงแรกทางภาครัฐจะมีการขับไล่แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งปี พ.ศ. 2520 เริ่มใช้มาตรการประนีประนอมมากขึ้น โดยนำโครงการพัฒนาต่าง ๆ เข้ามานำร่องในสลัมคลองเตย ถือเป็นสลัมแหล่งแรกที่ได้รับการยกระดับจากแหล่งเสื่อมโทรมที่ผิดกฎหมาย กลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างกลมกลืนกับสังคมเมือง
จากนั้นมีการยกเลิกคำว่า “สลัม” เปลี่ยนเป็นชุมชนแออัด และเรียก “ชุมชนคลองเตย” ในปัจจุบัน
ปัญหาหนึ่งที่มักได้ยินบ่อย ๆ ในย่านนี้คือ ปัญหาน้ำเน่าเสีย จริง ๆ แล้ว หากย้อนไปเมื่อประมาณ 40-50 ปีก่อน น้ำในคลองเตยยังใสสะอาด ไม่มีปัญหาขยะลอยเกลื่อน หรือปัญหาน้ำเน่าเสียแบบที่เป็นอยู่ แต่เมื่อเริ่มมีการพัฒนาพื้นที่ ไม่วาจะเป็นการสร้างบ้านเรือนริมคลอง หรือการสร้างทางด่วน สภาพน้ำในคลองก็เริ่มเปลี่ยนไป
สาเหตุของน้ำเน่าเสียในย่านคลองเตย
ปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองเตยมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำเน่าเสียจากผู้ค้าขายในตลาดคลองเตย และชุมชนในพื้นที่ที่มักทิ้งขยะลงในน้ำ ประกอบกับสภาพคลองยังเป็นคลองปิด คือมีการปิดประตูน้ำทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อกั้นไม่ให้น้ำเน่าเสียไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้น้ำในคลองไม่สามารถไหลเวียนไปไหนได้ จึงกลายสภาพเป็นน้ำเน่าเสียรุนแรงในปัจจุบัน
แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองเตย
ทางกรุงเทพมหานครได้มีมาตรการระยะสั้นคือ มีการเก็บขยะชิ้นเล็กบนผิวน้ำ และดำเนินการเก็บขยะชิ้นใหญ่ ๆ เช่น ฟุกที่นอน หรือโอ่งน้ำ การสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ที่อยู่อาศัยอยู่แนวคลอง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย และการขุดลอกคูคลองเพื่อให้การไหลเวียนน้ำภายในคลองดีขึ้น
ส่วนมาตรการระยะกลาง ดำเนินการโดยการก่อสร้างเขื่อนพร้อมระบบท่อรวบรวมน้ำเสีย สำหรับมาตรการระยะยาว ดำเนินการโดยการก่อสร้างระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อจัดการคุณภาพน้ำในคลองให้มีค่าความสะอาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีโรงบำบัดน้ำเสียทั้งหมด 8 แห่ง ได้แก่ โรงควบคุมคุณภาพน้ำสี่พระยา, รัตนโกสินทร์, ดินแดง, ช่องนนทรี, จตุจักร, หนองแขม, ทุ่งครุ และบางซื่อ รวมบำบัดน้ำเสียได้ 1.1 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน แต่ความต้องการขณะนี้อยู่ที่ 3-4 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ซึ่งตามเป้าหมายกรุงเทพฯ จะต้องมีโรงบำบัดน้ำเสีย 20 แห่ง
โดยในปีงบประมาณ 2563 มีแผนจะสร้างโรงบำบัดน้ำเสียเพิ่มอีก 4 แห่ง ได้แก่ โรงบำบัดน้ำเสียมีนบุรี, หนองบอน, คลองเตย และธนบุรี โดยทั้ง 4 แห่งมีศักยภาพบำบัดน้ำเสียได้แห่งละประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน คลองเตย มีความเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สิ่งที่เห็นชัดเจน นั่นคือ ศูนย์รวมความเจริญเติบโตค่อย ๆ เปลี่ยนทิศ จากในอดีตกระจุกตัวอยู่ที่ความเป็นชุมชนหนาแน่น พื้นที่ฝั่งริมแม่น้ำ ท่าเรือ และตลาด
แต่ในปัจจุบันความเจริญเติบโตเริ่มขยับมาทางฝั่งถนนรัชดาภิเษกตัดกับถนนพระราม 4 มากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น ความเจริญของฝั่งถนนสุขุมวิท แยกอโศก แผ่อิทธิพลมายังพื้นที่ฝั่งถนนรัชดาภิเษกที่ตัดกับถนนสุขุมวิท
การเกิดขึ้นของรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งมีทั้งสถานีคลองเตย สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่เหมือนเป็นการเปิดหน้าดินให้กับหลายพื้นที่ของย่านคลองเตย โดยเฉพาะฝั่งติดถนนพระราม 4 ที่เริ่มเกิดโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของย่านคลองเตย นั่นคือ การเกิดขึ้นของโครงการเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งแรกของย่านคลองเตยที่พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทของตระกูลสิริวัฒนภักดี เจ้าของอาณาจักรเบียร์ช้าง ซึ่งผลักดันให้ย่านคลองเตยมีภาพของย่านธุรกิจสมัยใหม่ เริ่มฉายให้กลุ่มนักลงทุนมองเห็นโอกาสในอนาคต
นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทในตระกูลสิริวัฒนภักดี บนพระราม 4 ที่ใกล้กับแยกคลองเตย ยังส่งผลบวกให้กับย่านคลองเตยมากขึ้นด้วย เช่น โครงการเดอะ ปาร์ค (The Parq) อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งใหม่พร้อมพื้นที่รีเทลที่เปิดให้บริการแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2563 (อยู่ฝั่งเดียวกับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์)
โครงการวันแบงค็อก อภิมหาโปรเจคที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จเฟสแรกในปี พ.ศ. 2566 และจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี พ.ศ. 2569 และการเกิดขึ้นของโรงพยาบาลเมดพาร์ค (MedPark) ที่แม้จะไม่ชัดเจนว่าเป็นธุรกิจโรงพยาบาลของตระกูลสิริวัฒนภักดี แต่ก็อยู่ในที่ดินที่กลุ่มตระกูลนี้ได้สิทธิ์ในการพัฒนา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลให้โฉมหน้าของย่านคลองเตยเปลี่ยนไปมาก
ยังไม่นับรวมถึง ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่ปิดปรับปรุงไปเมื่อต้นปี พ.ศ. 2562 และอยู่ระหว่างก่อสร้างใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างให้เป็นศูนย์การประชุมและจัดแสดงสินค้าขนาดใหญ่ภายใต้รูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัยใหม่บนทำเลใจกลางเมือง จึงอาจกล่าวได้ว่า คลองเตยในปัจจุบัน เหมือนกลับมาเริ่มต้นก่อร่างสร้างเมืองรอบใหม่ที่ค่อย ๆ เข้าใกล้คำว่า ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่มากขึ้น
รายชื่อ 77 จังหวัดของประเทศไทย ที่เรารับซื้อ Notebook คลองเตย
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
———————————————————
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
———————————————————
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดคลองเตย
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
———————————————————
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
———————————————————
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
———————————————————
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา